
ในช่วงเดือนที่ผ่านมา สถานการณ์เงินทุนไหลออกและวิกฤตเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา (Emerging Market: EM) ทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในตุรกี อาร์เจนตินา และเวเนซุเอลาที่กำลังประสบปัญหาวิกฤตค่าเงินอย่างรุนแรง ซึ่งทั้ง 3 ประเทศมีอาการคล้ายกัน คือ ประสบปัญหาเงินทุนไหลออกต่อเนื่องจากการที่นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น ค่าเงินอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว (รูปที่ 1) คำถามสำคัญ คือ ยังมีประเทศ EM อื่นอีกหรือไม่ที่มีความเสี่ยงประสบปัญหาที่คล้ายคลึงกันนี้ แต่ก่อนที่จะตอบคำถามนี้ได้ เราควรย้อนกลับไปดูที่ต้นเหตุการเกิดปัญหาของประเทศเหล่านี้เพื่อเข้าใจบริบทและเป็นบทเรียนสำหรับเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ EM อื่นในระยะข้างหน้า
เริ่มจาก ตุรกี ที่การเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแฝงด้วยการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและขาดดุลการคลังระดับสูง และต้องพึ่งพาเงินทุนและการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ รวมทั้งภาคเอกชนมีการสะสมหนี้สินในรูปสกุลเงินต่างประเทศ เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก (รูปที่ 2) แต่กลับมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่ต่ำ ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยที่อยู่ในระดับค่อนข้างสูงกว่า 10% มาตลอด อีกทั้งกลไกการทำงานของนโยบายการเงินยังถูกบิดเบือนจากรัฐบาลที่เข้าแทรกแซงการทำงานของธนาคารกลางตุรกีอยู่ตลอดส่งผลให้สูญเสียความน่าเชื่อถือ ทำให้เมื่อเกิดเหตุการณ์สหรัฐฯ คว่ำบาตรตุรกีเมื่อต้นเดือนสิงหาคม ประกอบกับการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ตุรกีประสบวิกฤตเงินทุนไหลออกฉับพลันและค่าเงินลีราเทียบดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าไปราว 70% จากต้นปี และเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นที่ระดับ 17.9% ณ สิ้นเดือนสิงหาคม จึงทำให้ตุรกีกำลังประสบวิกฤตค่าเงินอย่างรุนแรง
ถัดมา อาร์เจนตินา เป็นอีกประเทศที่เริ่มส่อเค้าการเกิดปัญหาตั้งแต่ช่วงต้นปีจากการที่ค่าเงินเปโซทยอยอ่อนค่าต่อเนื่อง และกำลังเผชิญปัญหาเงินทุนไหลออกเนื่องจากนักลงทุนขาดความเชื่อมั่น ส่งผลให้ค่าเงินอ่อนค่าและเงินเฟ้อเร่งสูงขึ้นต่อเนื่องเช่นเดียวกับตุรกี แม้ธนาคารกลางอาร์เจนตินาจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไปแตะที่ระดับ 60% ณ เดือนสิงหาคมไปแล้วก็ตาม ซึ่งต้นตอของปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากการใช้จ่ายเกินตัวของรัฐบาล และประเทศประสบปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและขาดดุลการคลังในระดับสูงเช่นกัน ต่างกันที่อาร์เจนตินายอมรับความช่วยเหลือจากทาง IMF ด้วยเงินกู้พิเศษมูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อช่วยพยุงค่าเงินและเสถียรภาพ แต่ค่าเงินก็ยังมีแนวโน้มอ่อนค่าและยังไร้วี่แววการยุติวิกฤตในเร็ววัน โดย ณ สิ้นเดือนสิงหาคม ค่าเงินอ่อนค่าไปราว 100% จากต้นปี และเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นที่ระดับ 31.2% ซึ่งทำให้อาร์เจนตินาเข้าสู่วิกฤติค่าเงินอย่างรุนแรงอีกประเทศหนึ่ง
สุดท้าย เวเนซุเอลา เป็นกรณีศึกษาที่มีความพิเศษตรงที่ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลเล็กน้อย และหนี้สินต่างประเทศดูเหมือนจะไม่ใช่ปัญหาหลัก แต่เสถียรภาพเศรษฐกิจและการเมืองภายในประเทศเข้าขั้นเลวร้ายและกำลังเผชิญกับวิกฤตเงินเฟ้อขั้นรุนแรง ซึ่งจากการประมาณการของ IMF คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อภายในสิ้นปีนี้จะสามารถแตะระดับสูงสุดที่ 1,000,000% ส่งผลให้ค่าเงินโบลิวาร์ในตอนนี้แถบจะไร้ค่า จนถึงขนาดที่รัฐบาลต้องออกเงินสกุลใหม่อย่างเร่งด่วนเพื่อมาทดแทนเงินสกุลเดิม ซึ่งสาเหตุของปัญหาก็เกิดจากการทำนโยบายประชานิยมแบบรัฐสังคมนิยมที่เกินตัวและทำติดต่อกันเป็นเวลายาวนาน รวมทั้งรัฐบาลมีการแทรกแซงกลไกตลาด บิดเบือนราคาสินค้าและไร้ซึ่งวินัยทางการคลัง ทั้งยังมีการพิมพ์เงินออกมาใช้จ่ายอย่างไร้ขอบเขต ทำให้ค่าเงินสกุลเดิมด้อยค่าลงอย่างรวดเร็ว
ต้นตอที่สำคัญของวิกฤตค่าเงินของทั้ง 3 ประเทศนั้นมีสาเหตุคล้ายกัน คือ ความเปราะบางทางการเมือง การดำเนินโยบายภายในที่ผิดพลาดขัดกับกลไกตลาดและไม่คำนึงถึงเสถียรภาพเศรษฐกิจระยะยาว จากการใช้จ่ายเกินตัวของรัฐบาลโดยเฉพาะในเวเนซุเอลาที่มีการพิมพ์เงินมาใช้จ่ายซึ่งสะท้อนจากการเติบโตของอุปทานเงินในระบบ ที่ทะยานสูงขึ้นหลาย 10 เท่าภายในช่วงระยะเวลาแค่ 2 ปี (รูปที่ 3) รวมถึงการมีหนี้สินในรูปสกุลเงินต่างประเทศที่สูง และมีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและขาดดุลการคลังอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่ตระหนักถึงความเสี่ยงในระยะข้างหน้าของตุรกีและอาร์เจนตินา
ดังนั้น วิกฤตค่าเงินและวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในตุรกี อาร์เจนตินา เวเนซุเอลา กำลังส่งสัญญาณสำคัญให้ประเทศ EM อื่นๆ เริ่มตระหนักถึงต้นทุนทางเศรษฐกิจจากการดำเนินนโยบายที่ไม่รอบคอบจากการใช้จ่ายเกินตัวของภาครัฐ การก่อหนี้ในรูปสกุลเงินต่างประเทศเกินตัวที่จะนำไปสู่วามเสี่ยงที่สกุลเงินฝั่งสินทรัพย์และหนี้สินไม่ตรงกัน (currency mismatch) และภาระหนี้ที่จะเพิ่มจากการที่ดอกเบี้ยโลกอยู่ในช่วงขาขึ้นและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อาจมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง ซึ่งหากผนวกกับการที่สกุลเงินท้องถิ่นอ่อนค่ารุนแรงจากภาวะเงินทุนไหลออกด้วยแล้ว ยิ่งจะทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลง เงินทุนสำรองถูกบั่นทอน ซ้ำเติมกายเป็นวิกฤติค่าเงินและนำไปสู่การหดตัวทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงได้ ประเทศ EM ที่ยังมีความเสี่ยงสูงและอาจเป็นลำดับถัดไปหากไม่ระมัดระวังในการดำเนินนโยบายและยังมีความอ่อนไหวต่อเงินทุนไหลออก คือ แอฟริกาใต้ บราซิล และอินโดนีเซีย
อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงการลุกลามของปัญหา (contagion risk) ของวิกฤตตุรกี อาร์เจนตินา เวเนซุเอลาต่อภูมิภาคอาเซียนรวมถึงไทยนั้นยังค่อนข้างต่ำโดยพิจารณาได้อย่างน้อยจาก 3 ความเชื่อมโยง ได้แก่ 1) ความเชื่อมโยงด้านการค้า ซึ่งหากยกตัวอย่าง สัดส่วนการส่งออกไปยังตุรกีนั้นค่อนข้างต่ำ (รูปที่ 4) 2) ความเชื่อมโยงภาคธนาคารที่ค่อนข้างต่ำ เพราะ exposure ของธนาคารในกลุ่มประเทศอาเซียนจะมีน้อยต่อ 3 ประเทศนี้ สิทธิเรียกร้องของต่างประเทศ (foreign claims) ก็ไม่สูงนัก โดยหากดูเฉพาะตุรกี มีเพียงธนาคารบางแห่งในสเปน ฝรั่งเศส และอิตาลีเท่านั้นที่มี exposure อยู่ในรูปการค้ำประกันกับตุรกีก็ยังไม่สูงนัก และ 3) ความเชื่องโยงในตลาดการเงินผ่านสภาวะตลาดที่ปิดรับความเสี่ยง (risk-off sentiment) น่าจะเป็นความเชื่อมโยงที่ส่งผลกระทบเด่นชัดที่สุดในช่วงที่ผ่านมาที่ทำให้เกิดภาวะเงินทุนไหลออกโดยเฉพาะในตลาดหุ้น EM
จากบทเรียนวิกฤตตุรกี อาร์เจนตินา เวเนซุเอลา คงถึงเวลาตระหนักถึงปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความเปราะบางในกลุ่มประเทศ EM ในระยะข้างหน้า ไม่ว่าจะจากปัจจัยภายในทั้งการดำเนินโยบายการคลังของรัฐบาล การกำหนดทิศทางของดอกเบี้ยของธนาคารกลาง และจากปัจจัยภายนอกโดยเฉพาะการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed และการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเงินทุนเคลื่อนย้าย นับเป็นความท้าทายของกลุ่มประเทศ EM ที่มีหนี้สินต่างประเทศในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ สูง เงินทุนสำรองระหว่างประเทศต่ำและมีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่อง ทั้งยังเป็นความเสี่ยงสำคัญสำหรับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศที่ยังต้องพึ่งพาเงินทุนจากภายนอกด้วย




ไทยอาร์เจนตินาเวเนซุเอลาวิกฤตตุรกีEM
Add your comment Hide comment